วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ต้มยำกุ้ง

ถ้าพูดถึงอาหารไทยก็ต้องนึกถึงอาหารที่มีรสชาติที่ เผ็ดร้อน แต่มีความกลมกล่อมอยากลงตัวจะให้พูดง่ายๆก็คือ อร่อยนั้นเอง...
และอาหารไทยที่เป็นที่นิยมและเป็นอาหารที่ชาวต่างชาติรู้จักกันเป็นอย่างดีในถานะอาหารประจำขาตินั้นก็คือ "ต้มยำกุ้ง" นั้นเอง

28
ต้มยำกุ้ง
ต้มยำกุ้ง เป็นชื่ออาหารไทยที่ทุกคนรู้จักกันดี และมีรสชาติถูกปากทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เป็นอาหารที่มีอยู่ในเมนูของภัตตาคารไทยทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ เมนูต้มยำกุ้ง เป็นเมนูที่แพร่หลาย สังเกตได้จากชาวต่างชาติที่พอพูดถึงอาหารไทย เมนูต้มยำกุ้งต้องฮิตติดอันดับต้นๆในใจของหลายๆคน
"ต้มยำกุ้ง" เป็นเมนูที่ฮอตฮิตอันดับ 1 ในหมู่บรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่มาเที่ยวในประเทศไทย เมนู "ต้มยำกุ้ง"ยังถูกบรรจุลงในเมนูของร้านอาหารไทยในต่างแดนเกือบทุกร้านก็ว่าได้ แต่เมนู "ต้มยำกุ้ง "ของร้านอาหารไทยในต่างแดนนั้นถูกดัดแปลงรสชาติให้ถูกปากและมีความเป็นสากลมากขึ้นโดยการลดความเผ็ดร้อนของพริกลงแล้วปรับรสชาติให้กลมกลอมถูกปากบรรดาชาวต่างชาติและเพิ่มสีสันดัดแปลงเมนูให้มีความอินเตอร์มากขึ้นยกตัวอย่างเช่น เมนู"ข้าวผัดต้มยำกุ้ง "สปาเก็ตตี้ต้มยำกุ้ง"ซึ่งเป็นเมนู ยอดฮิตของร้านอาหารไทยในต่างแดนเลยทีเดียว
 
 
ต้มยำกุ้งเป็นอาหารประเภท "ต้มยำ" 
ต้มยำ (ลาวຕົ້ມຍຳ) เป็นซุปไทยที่มีรสเปรี้ยวเผ็ด ต้มยำเป็นอาหารที่รู้จักในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย เช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวมถึงมีชื่อเสียงไปทั่วโลก คำว่า “ต้มยำ” มาจากคำภาษาไทย 2 คำ คือ “ต้ม” และ “ยำ” คำว่า “ต้ม” หมายถึง กิริยาเอาของเหลวใส่ภาชนะแล้วทำให้ร้อนให้เดือดหรือสุก ขณะที่ “ยำ” หมายถึงอาหารลาวและไทยประเภทที่มีรสเปรี้ยวเผ็ด ดังนั้น “ต้มยำ” คือซุปลาวและไทยที่มีความเผ็ดร้อนและเปรี้ยว อันที่จริงคุณลักษณะของต้มยำมาจากความแตกต่างระหว่างความเผ็ดร้อนและความเปรี้ยวและกลิ่นหอมของสมุนไพรในน้ำแกง ที่สำคัญน้ำแกงนั้นประกอบด้วย น้ำต้มกระดูกและเครื่องปรุงส่วนผสมสดได้แก่ ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า น้ำมะนาว น้ำปลาและพริก
ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ชื่อต้มยำ ถูกใช้เรียกน้ำแกงประเภทต่าง ๆ ที่เผ็ดร้อน ซึ่งแตกต่างจากน้ำแกงต้มยำของลาวและไทยดั้งเดิม ทำให้ผู้คนสับสนจากความแตกต่างนี้
  ดาวน์โหลด (1)
ดังนั้นวันนี้เราจะมานำเสนอวิธีการทำต้มยำกุ้งกันนะครับ
ก่อนอื่นเรามาเตรียมเครื่องปรุงกันก่อนเลยนะครับ
 เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* กุ้งขนาดกลาง 6 ตัว
* ตะไคร้ 1 ต้น, หั่นเป็นท่อนขนาด 2" และทุบพอแหลก
* เห็ดฟางหั่นครึ่ง 12 ดอก
* พริกขี้หนู 3-5 เม็ด, บุบพอแตก
* ใบมะกรูดฉีก 3 ใบ
* น้ำมะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปลา 2-3 ช้อนโต๊ะ
* น้ำซุปไก่ 3 ถ้วย (หรือน้ำเปล่า)
* ผักชี สำหรับโรยหน้า
* น้ำพรกเผา (กรณีต้องการทำเป็นต้มยำน้ำข้น)
28
วิธีทำ
1. ล้างทำความสะอาดกุ้ง แกะเปลือกออกเหลือแต่หาง พักไว้ (ถ้าไม่มีน้ำซุปไก่ สามารถเอาหัวกุ้ง และเปลือกที่แกะ ไปต้มทำเป็น น้ำซุป จะทำให้ต้มยำมีรสกลมกล่อมขึ้น)
2. ตั้งน้ำซุป (หรือน้ำเปล่า) ในหม้อขนาดกลาง ใส่ตะไคร้ลงไปต้ม พอน้ำซุปเริ่มเดือด ใส่กุ้งและเห็ดฟาง ต้มต่อไปอีกสักพักจนกุ้งเกือบสุก จึงปิดไฟ ยกหม้อลง (อย่าให้กุ้งสุกมาก เนื้อจะแข็งกระด้าง ไม่อร่อย)
3. ปรุงรสด้วยพริก,น้ำมะนาวและ น้ำปลา จากนั้นจึงฉีกใบมะกรูดใส่ลงไป คลุกให้ทั่ว ชิมรสให้พอดี (ถ้าต้องการทำเป็นต้มยำน้ำข้น ก็ใส่น้ำพริกเผาลงไปด้วย)
4. ตักต้มยำใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยผักชี เสริฟทันทีพร้อมข้าวสวยร้อนๆ
แค่นี้เราก็จะได้ต้มยำกุ้งรสชาติดีๆรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆแล้วนะครับ
หมายเหตุ:สูตรการทำนี้ได้จากEzyThaiCooking.com
ตัวอย่างวิธีการทำ


ขนมไทย

ดาวน์โหลด (2)
ประเทศไทยเรานั้นมีอาหาร และ ขนมมากมายที่เป็นที่นิยม และในวันี้เราก็ขอนำเสนอ 10สุดยอดขนมไทยที่หาทานได้ยากสุดๆกันเลยทีเดียว เริ่มจากอันดับ 10 กันก่อนเลยนะครับ
10.ขนมพันตอง
ขนมพันตอง แบ่งเป็น 2 ส่วน แยกเป็น 2 ห่อ ห่อแรกคือส่วนผสมของ
ไส้ ประกอบด้วยมะพร้าวกับน้ำตาลปี๊บ แล้วนำมาปั้นเป็นก้อน อีกห่อ
ประกอบด้วย หัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า เกลือ น้ำตาล แล้วตักใส่ห่อ เพื่อความ
อร่อยยิ่งขึ้นควรจะรับประทานพร้อมกัน เพราะตัวแป้งและตัวไส้จะอร่อย
กลมกล่อมอย่างลงตัว
9.ขนมลา
ขนมลา เป็นขนมหวานพื้นบ้านของทางภาคใต้ ของประเทศไทย ซึ่งทำ
มาจากแป้งข้าวเจ้า เป็นขนมสำคัญหนึ่งในห้าชนิดที่ใช้สำหรับจัดเพื่อนำไป
ถวายพระสงฆ์ในงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ซึ่งเป็นงานบุญประเพณีที่
สำคัญของจังหวัดในภาคใต้ เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัด
นครศรีธรรมราช สงขลาโดยอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ขนม
ลาปรุงขึ้นเพื่อเป็นเสมือนแพรพรรณเสื้อผ้า
8.ขนมเกสรชมพู่
    ขนมไทยโบราณ เมื่อได้มองครั้งแรกอาจจะคิดว่าขนมชนิดนี้คือ
“ข้าวเหนียวเเก้ว” แต่ถ้าพิศมองให้ดีจะเห็นถึงความแตกต่างอย่าง
ชัดเจน เพราะมีลักษณะแข็งกระด้างของข้าวเหนียว ส่วนเกสรชมพู่
จะดูนุ่มนวล อ่อนโยน ที่ทำจากมะพร้าวขูดขาว ผัดกับน้ำและน้ำตาล
ทราย ใส่วุ้นกวนให้เข้ากันใส่สีชมพูแก่ แล้วตักใส่ถ้วย เรื่องรสชาติ
เอกลักษณ์
7.ขนมโพรงเเสม
ขนมชนิดนี้ใช้ในพิธีแต่งงาน โดยแทนเสาบ้านเสาเรือน เพื่อให้คู่บ่าว
สาวอยู่กันยั่งยืนและร่ำรวย ลักษณะคล้ายๆขนมทองม้วน แต่ขนมชนิดนี้จะมี
ความแตกต่างอยู่ตรงที่มีน้ำตาลเคลือบพันร้อยอยู่ที่ตัวขนม เมื่อตัวขนมได้
ถูกบดขยี้กับฟันและลิ้นที่สัมผัสรส จะให้ความรู้สึกกรุบกรอบน่ากัดกิน ผสม
กับความหวานของน้ำตาลที่เคลือบขนมอย่างลงตัวไม่ที่ไม่หวานมากนัก ก็
ยิ่งทำให้ขนมชนิดนี้เหมาะสำหรับการกินเล่น
6.ขนมตูโบ้
ต้มบวดรวมมิตร อาหารหวานท้องถิ่นภูเก็ต ทำจากถั่วแดงเม็ดเล็ก
มันเทศ เผือก และแป้งมันสำปะหลัง  ต้มรวมกันในน้ำกะทิเติมน้ำตาลและ
เกลือพอให้มีรสหวานนำและเค็มปะแล่ม จะทานร้อนๆหรือเติมน้ำแข็งก็ได้
5.ขนมเทียนเเก้ว
ขนมเทียนแก้ว หรือ ขนมนมสาว เปรียบเสมือนแสงสว่าง ลักษณะที่
สวยถูกต้อง ต้องปลายแหลม และฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส วางได้โดยไม่
เสียรูปทรง ทำจากถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก กวนกับกะทิและน้ำตาลทราย
อบด้วยควันเทียน ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ นำแป้งถั่วเขียว หรือแป้งซ่าหริ่ม กวน
กับน้ำตาลทราย และน้ำลอยดอกมะลิ
4.ขนมสามเกลอ
เป็นขนมเสี่ยงทายในพิธีแต่งงาน ถ้าขนมยังติดกันทั้ง 3 ลูกในขณะที่
ทอด หมายความว่า คู่บ่าวสาวที่จะแต่งงานจะอยู่ด้วยกันดี ตลอดจนมีลูก
ด้วยกัน แต่ติดกันอยู่เพียง 2 ลูก หมายความว่า มีลูกยากหรือไม่มี ถ้าแยก
หรือหลุดออกทั้ง 3 ลูก หมายความว่า อยู่ด้วยกันไม่ยืดยาว
3.ขนมตะลุ่ม
ตะลุ่ม มีสองส่วน คือส่วนตัวขนม ทำแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม แป้ง
มันสำปะหลัง น้ำปูนใส และหางกะทิ นำไปนึ่งจนสุก ส่วนของตัวหน้า ได้แก่
หัวกะทิ ไข่ และน้ำตาล ใส่แป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย แล้วเทลงบนตัวที่สุกแล้ว
นำไปนึ่ง เวลาเสิร์ฟตัดเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำหรือลักษณะตามชอบ
2.ขนมหม้อตาล
เป็นขนมโบราณ ที่ใช้ในพิธีแต่งงาน เรียกว่า “หม้อเงิน หม้อทอง” ตัว
ถ้วยขนม ผสมแป้งสาลี น้ำเย็น ไข่แดง กรุแป้งในพิมพ์หม้อตาล อบให้สุก
ไส้ ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำเคี่ยวให้ข้น ตักใส่ถ้วย หยดสีตามต้องการ
หยอดลงในพิมพ์ ให้น้ำตาลแห้ง
1.ขนมบุหลันดั้นเมฆ
ลักษณะของขนมจะคล้ายขนมน้ำดอกไม้ เป็นขนมชาววังคิดประดิษฐ์
ขึ้น ให้มีสีสันอุปมาอุปไมยเลียนแบบเพลงไทย‘บุหลันลอยเลื่อน’ ซึ่งเป็น
เพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 มี 2 ส่วน คือ ส่วนตัวขนม ทำจากแป้ง
ข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำดอกอัญชัน น้ำตาลทราย หยอดลงบนถ้วยตะไล เมื่อนำ
ไปนึ่งตรงกลางจะบุ๋มลงไป ส่วนตัวหน้าขนม ประกอบด้วย ไข่ กะทิ น้ำตาล
มะพร้าว และนำไปนึ่งต่อจนสุก เมื่อรับประทานจะให้ความรู้สึกถึงความหอม
หวานของน้ำดอกอัญชันกับกลิ่นน้ำตาลมะพร้าว
หมดเเล้วครับ ใครเคยชิมอันไหนคอมเม้นบอกจขกท.ด้วยนะ
ขอบคุณเครดิตจาก http://www.toptenthailand.com

อาหารไทยโบราณ

อาหารไทย คือ อาหารประจำชาติของไทยที่มีการสั่งสม และถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งที่ปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จากจดหมายเหตุบันทึกวรรณกรรมต่าง ๆ ได้มีการแบ่งลักษณะของอาหารไทย ตามยุคของประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่ (ประหยัด สายวิเชียร, 2547, หน้า 20)

1. สมัยสุโขทัย หลักฐานจากศิลาจารึก และวรรณคดีสำคัญ คือ ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไท กล่าวถึงอาหารไทยสมัยนั้นว่า มีข้าวเป็นอาหารหลัก กินร่วมกับกับข้าวที่ส่วนใหญ่ได้มาจากปลา และมีเนื้อสัตว์อื่นบ้าง การปรุงอาหารได้ปรากฏคำว่า “แกง” ในไตรภูมิพระร่วงซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ข้าวหม้อ แกงหม้อ ผักที่กล่าวถึง คือ แฟง แตงและน้ำเต้า ส่วนอาหารหวานก็ใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน เช่น ข้าวตอก และน้ำผึ้ง ส่วนหนึ่งนิยมกินผลไม้แทนอาหารหวาน
2. สมัยอยุธยา ถือว่าเป็นยุคทองของไทย ได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้นทั้งชาวตะวันตกและตะวันออก จึงทำให้มีบันทึกเกี่ยวกับอาหารการกินของคนไทยสมัยนั้นในเอกสารของชาวต่างประเทศที่กล่าวว่า คนไทยกินอาหารแบบเรียบง่าย ยังคงมีปลาเป็นหลัก มีต้ม แกง และคาดว่ามีการใช้น้ำมันในการประกอบอาหารแต่เป็นน้ำมันจากมะพร้าว และกะทิมากกว่าไขมันหรือน้ำมันจากสัตว์มากขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย คนไทยสมัยนั้น มีการเก็บถนอมอาหาร เช่น การนำไปตากแห้ง หรือทำเป็นปลาเค็มและมีการอาหารประเภทเครื่องจิ้ม เช่น น้ำพริกกะปิ นิยมบริโภคสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บกโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ที่ยังไม่นิยมนำมาฆ่าเพื่อใช้เป็นอาหาร ได้มีการกล่าวถึงแกงปลาต่าง ๆ ที่ใช้เครื่องเทศ เช่น แกงที่ใส่หัวหอม หัวกระเทียม สมุนไพรหวาน และเครื่องเทศบางชนิดที่คาดว่านำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา
3. สมัยธนบุรี จากหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ ซึ่งเป็นตำราการทำกับข้าวเล่มแรกของไทย พบว่า มีความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอาหารไทย และอาหารไทยสมัยกรุงธนบุรีน่าจะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา แต่ที่พิเศษเพิ่มเติม คือ มีอิทธิพลของอาหารจีนที่เพิ่มเข้ามา
4. สมัยรัตนโกสินทร์ การศึกษาความเป็นมาของอาหารไทยในยุครัตนโกสินทร์จำแนกได้ตามยุค ดังนี้
4.1 ยุคที่ 1 (ปี พ.ศ. 2325-2394) อาหารไทยในยุคนั้นเป็นลักษณะเดียวกันกับสมัยธนบุรี และมีประเภทของอาหารว่างเพิ่มขึ้นจากอาหารคาว และอาหารหวาน
4.2 ยุคที่ 2 (ปี พ.ศ. 2394 – ปัจจุบัน) ตำรับอาหารการกินของไทยเริ่มมีการบันทึกเป็นหลักฐานชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากมีการตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกในประเทศไทย และต่อเนื่องมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ดังจะพบได้ในบทพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ ของรัชกาล 5 เรื่องไกลบ้าน จดหมายเหตุ เสด็จประพาสต้น รวมถึงบันทึกต่าง ๆ ที่ผ่านทางการบอกเล่าสืบทอดทางเครือญาติ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ บันทึกเหล่านี้สะท้อนให้เป็นความหลากหลายของอาหารไทย ทั้งที่เป็น กับข้าว อาหารจานเดียว อาหารว่าง อาหารหวาน และอาหารนานาชาติ ซึ่งปรุงโดยวิธีการของราชสำนักและแบบชาวบ้าน ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า อาหารไทยบางชนิดในปัจจุบัน มีวิธีการปรุงหรือส่วนประกอบของอาหารผิดเพี้ยนไปจากของดั้งเดิม จึงทำให้บางครั้งรสชาติของอาหารขาดเอกลักษณ์ที่สำคัญไปอาหารไทยถูกสืบทอดมายาวนาน มีการสั่งสม ผสมผสาน ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่อาหารไทยในปัจจุบันยังคงมีความเป็นเอกลักษณ์และเป็นเครื่องแสดงออกถึงวัฒนธรรมของชาติได้อีกแขนงหนึ่ง
ดาวน์โหลด (3)
เราขอนำเสนอตัวอย่างอาหารไทยโบราณ พร้อมกับ เครื่องปรุงและวิธีการทำ ให้นิดหน่อยนะครับ
แสร้งว่า
preview_html_m52b5181f
เครื่องปรุง
–  กุ้งชีแฮ้ 2 ขีด หอมแดง 5 หัว ขิงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
– ใบมะกรูดซอยเป็นฝอย 1 /2 ช้อนชา
–  ต้นหอม ผักชี หั่นฝอยสำหรับโรยหน้า พริกชี้ฟ้า เขียว แดง และพริกเหลือง
–  มะนาว ผักชี หั่นฝอยสำหรับโรยหน้า พริกชี้ฟ้า เขียว แดง และพริกเหลือง
–  มะนาว น้ำปลาดี น้ำตาลปีป น้ำมะกรูด น้ำมะขามเปียก
วิธีทำ
–  กุ้งแกะเปลือก ดึงเส้นดำข้างหลังออก แล้วต้มโดยใส่น้ำนิดหน่อย
–  เก็บน้ำกุ้งไว้ เอาเนื้อกุ้งหั่นหยาบ ๆ แล้วใส่ไปในน้ำกุ้ง
–  ใส่น้ำมะนาว น้ำมะกรูด น้ำมะขามเปียก น้ำตาล น้ำปลา เคล้าให้ทั่ว
–  ชิมดูให้มีรส เปรี้ยว เค็ม หวาน เมื่อรสกลมกล่อมดีแล้ว ใส่เครื่องปรุงที่หั่นไว้เคล้าให้ทั่วแบ่งต้นหอมผักชีลงเคล้าปนไปด้วย เหลือไว้สำหรับโรยหน้าเล็กน้อย
–  ตักใส่ชาม แงหน้าด้วยต้นหอมผักชี และพริกชี้ฟ้า แดง เขียว หั่นฝอย ถ้าชอบเผ็ด หั่นพริกขี้หนูโรยไปด้วย
–  รับประทานกับผักสด เช่นต้นหอม ผักชี ใบโหระพา และผักอื่น ๆ ตามชอบ มีปลาทอดจืด เช่น ปลาดุกฟู ปลาช่อนทอดฟู เป็นของเคียง จะอร่อยยิ่งขึ้น



ยำใหญ่
1330076275
ส่วนผสม
  • เนื้อหมู ตับหมู อกไก่ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลวก อย่างละ 1 ถ้วย
  • กุ้ง ปอกเปลือก ผ่าหลัง ลวก 1 ถ้วย
  • หนังหมู ต้มสุก หั่นฝอย ½ ถ้วย
  • วุ้นเส้น แช่น้ำตัดเป็นท่อนๆ ½ ถ้วย
  • เห็ดหูหนู ลวก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ½ ถ้วย
  • แครอท แตงกวาปอกเปลือก หั่นเป็นแว่น อย่างละ 2 หัว
  • หัวผักกาดขาว หั่นเป็นชิ้นพอคำ 1-2 หัว
  • หอมใหญ่ปอกเปลือก หั่นตามขวางบางๆ 2 หัว
  • กระเทียม 15 กลีบ
  • พริกขี้หนู 10 เม็ด
  • รากผักชีสับหยาบ 1 ช้อนชา
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมดอง สับหยาบ ¼ ถ้วย
  • ใบสะระแหน่เด็ดใบๆ 1 ถ้วย
  • พริกชี้ฟ้าแดง หั่นตามยาว 5 เม็ด
  • ไข่ไก่ต้มสุก ผ่าเป็นเสี้ยวๆ 4 ฟอง
วิธีทำ
  1. วุ้นเส้นลวกด้วยน้ำเดือด แล้วรีบผ่านน้ำเย็นทันที ผึ่งให้แห้ง
  2. โขลกกระเทียม พริกขี้หนู รากผักชีพอแหลก ตักใส่อ่างผสม ใส่น้ำตาลทราย น้ำปลา น้ำมะนาว ปรุงรสตามต้องการ
  3. ใส่ส่วนผสม เนื้อหมู ตับหมู หนังหมู กุ้ง อกไก่ วุ้นเส้น เห็ดหูหนู แครอท แตงกวา หัวผักกาดขาว และหอมใหญ่ ลงคลุกเคล้าเบาๆ ให้เข้ากัน
  4. จัดใส่จาน แต่งด้วยใบสะระแหน่ กระเทียมดอง พริกชี้ฟ้าแดง และไข่ต้ม เสิร์ฟรับประทานทันที


หรุ่ม
D11793080-0
ส่วนผสมหรุ่ม
กุ้งบด      1 ถ้วย
หมูบด    3/4 ถ้วย
ถั่วลิสงป่น     1 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่สับละเอียด     1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชี กระเทียม พริกไทยบด   1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ     1 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ    1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช   2 ช้อนโต๊ะ
ผักชี      1 ต้น
พริกแดง  ซอยเป็นเส้นๆ      1 เม็ด
ไข่เป็ดตีพอแตก     4 ฟอง
วิธีทำหรุ่ม
1.ผัดรากผักชีกระเทียมพริกไทย ใส่เนื้อสัตว์และเครื่องปรุงต่างๆ ให้เข้ากันยกลงพักไว้
2.ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อนๆ จนกระทะร้อน ใช้มือจุ่มลงในไข่เป็ดที่ตีพอแตก โรยเป็นเส้นๆ กลับไปมาเป็นตารางกว้างยาวประมาณ 5 นิ้ว
3.นำแผ่นไข่วาง นำผักชีและพริกแดงซอยวางลงตรงกลาง แล้วนำไส้ใส่ลงตรงกลางอีกครั้ง ห่อเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพร้อมเสิร์ฟ


กระทงทอง

กระทงทอง
เครื่องปรุงกระทงทอง
กระทงทอง
1. แป้งสาลี (บัวแดง) 2 + 1 ถ้วย + ชตพูน
2. ไข่แดง 1 ฟอง
3. เกลือป่น 2 ช้อนชา
4. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมัน 4 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปูนใส 1/2 ถ้วย
7. น้ำ 1 1/2 ถ้วย
ไส้ไก่
8. เนื้ออกไก่ล้วน (สับละเอียด) 1 ถ้วย
9. ถั่วลันเตา เม็ดข้าวโพด แครอท 1 ถ้วย
10. รากผักชี กระเทียม (โขลก) 2 ช้อนโต๊ะ
11. พริกไทย 15 เม็ด
12. เกลือ 2 ช้อนชา
13. น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
14. นมข้นจืด 1/2 ถ้วย
วิธีทำกระทงทอง
• ส่วนกระทง
1. กะละมังใส่แป้งสาลี ไข่แดง นวดเคล้าให้เข้ากัน ใส่เกลือ น้ำตาล น้ำมัน นวดให้เข้ากันสักพัก คลายแป้งด้วยน้ำ น้ำปูนใส (สังเกตจากเมื่อชุบแล้วแป้งเคลือบติดมือแสดงว่าใช้ได้ เพราะถ้าไม่ติดอาจจะต้องเพิ่มแป้ง) พักแป้งไว้สัก 20-30 นาที
• ส่วนไส้ไก่
2. เนื้ออกไก่ – ล้าง สับละเอียด โขลก รากผักชี กระเทียม พริกไทย ใส่กะทะตั้งไฟ ผัดให้หอม ใส่หอมใหญ่ เนื้อไก่ ดูให้เนื้อไก่สุก ใส่ถั่วลันเตา ข้าวโพด แครอท ผัดเคล้าให้เข้ากัน ใส่นมข้นจืด ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ ชิมรสให้ออก หวาน-มัน-เค็ม ผัดจนน้ำเริ่มงวด ปิดไฟ ใส่ภาชนะพักให้เย็นตัว
3. หม้อใส่น้ำมันทอดเกือบครึ่งหม้อ จุ่มพิมกระทงทองแช่ทิ้งไว้ให้ร้อน ยกขึ้นซับน้ำมัน นำไปจุ่มแป้งเกือบถึงขอบพิมพ์ นำลงทอด สังเกตดูว่าแป้งพองอยู่ตัว ใช้ส้อมหรือไม้ปลายแหลมเขี่ยให้แป้งหลุดจากพิมพ์ ดูสีเหลืองทองจึงตักขึ้นวางใส่กระดาษซับน้ำมัน
4. จัดจาน – ตักไส้ต่างๆ ใส่ถ้วยเล็กวางบานจานใหญ่ ตัวกระทงจัดเรียงบนจาน กรณียังไม่ทานเลย ซ้อนกระทงใส่ถุงพลาสติกรัดไว้ เพื่อไม่ได้ลมเข้าและคงความกรอบไว้

แกงรัญจวน
สูตรของ มล.เนื่อง นิลรัตน์
ส่วนผสม
เนื้อน่องแก้ว 1/2 กก หรือเนื้อหมูู
พริกไทยเม็ด 1 ชช
มะนาว 2 ลูก
(ถ้ามีตะไคร้ ก็ใส่ด้วยค่ะ)
น้ำพริกกะปิ : กะปิเผา 1 ชต กระเทียม 10 กลีบ พริกขี้หนู 5 เม็ด น้ำตาลปิ๊บ 1/2 ชต มะอึก 3 ลูก เกลือ 1/4 ชช
วิธีทำ
1.นำเนื้อน่องแก้วหรือเนื้อน่องใส่หม้อตุ๋นไฟฟ้า ใส่พริกไทยเม็ดลงไป เติมน้ำแค่พอท่วม ตุ๋นประมาณ 2ชม ตักเนื้อมาหั่นเป็นชิ้นโต ตุ๋นต่อไปอีก 2 ชม หรือจนเปื่อยนุ่ม
2.ตำน้ำพริก ตำกระเทียม พริกขี้หนู เกลือ กะปิ มะอึก น้ำตาลปิ๊บ ปรุงให้ได้ 3 รส
3.ตักน้ำในหม้อตุ๋นมาต้มในหม้อ ใส่เนื้อน่องตุ๋นที่หั่นเป็นชิ้นพอคำลงไป ใส่น้ำพริกกะปิ หอม กระเทียม พริกขี้หนูเม็ด (ตะไคร้หั่นบางๆ)
4.ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว เกลือ น้ำตาลปิ๊บ ให้ได้ 3 รส พอเดือดก่อนปิดไฟ โรยใบโหระพาลงไป


แกงรัญจวน (แกงโบราณ) ได้มีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงเมนูแกงรัญจวนนี้ว่า ท่าน มล. เนื่อง นิลรัตน์ ได้ทรงทำแกงรัญจวนนี้ภายในวังของท่าน

น้ำพริก

น้ำพริกก็เป็นอาหารของไทยอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยเรารู้จักกันดีเลยนะครับและหลายคนก็คงชอบที่จะทานกับข้าวสวยร้อนๆวันนี้เราเลยมีสูตรน้ำพริกมาฝากกันนะครับ
น้ำพริก
ดาวน์โหลด (4)
น้ำพริกผัดหมู
น้ำพริกเป็นอาหารชนิดหนึ่งของคนไทย  ซึ่งมีมาแต่โบราณ  จัดเป็นอาหารที่เกิดมาคู่กับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย  ซึ่งถือว่าเป็นภูมิปัญญาชนิดหนึ่งในสมัยโบราณกาล  และเป็นการปรุงรสชาติในการรับประทานอาหารของคนไทยน้ำพริกที่นิยมมีหลายประเภท  มีทั้งน้ำพริกที่ปรุงสดและปรุงแห้ง  แล้วแต่ความนิยมในการรับประทาน  แต่น้ำพริกผัดหมูและน้ำพริกปลาย่าง  ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมาก  เพราะนอกจากมีรสชาติอร่อยแล้ว  ยังสามารถเก็บไว้ได้นาน
ประเพณีความเชื่อเกี่ยวกับน้ำพริก
น้ำพริกเป็นอาหารชนิดหนึ่งของคนไทย  ซึ่งมีมาแต่โบราณ  จัดเป็นอาหารที่เกิดมาคู่กับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย  ซึ่งถือว่าเป็นภูมิปัญญาชนิดหนึ่งในสมัยโบราณกาล  และเป็นการปรุงรสชาติในการรับประทานอาหารของคนไทยน้ำพริกที่นิยมมีหลายประเภท  มีทั้งน้ำพริกที่ปรุงสดและปรุงแห้ง  แล้วแต่ความนิยมในการรับประทาน  แต่น้ำพริกผัดหมูและน้ำพริกปลาย่าง  ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมาก  เพราะนอกจากมีรสชาติอร่อยแล้ว  ยังสามารถเก็บไว้ได้นาน
น้ำพริกผัดหมู
น้ำพริก
น้ำพริกผัดหมู  ตำหรับสูตรชาววัง
เครื่องปรุง
1.พริกใหญ่แห้ง
2.พริกแจวหรือพริกขี้หนูแห้ง
3.กระเทียม
4.หอมแดง
5.เกลือป่น
6.เนื้อหมูสันในแดง
7.น้ำมันพืช
8.น้ำมะขามเปียก
9.น้ำตาลปีป
10.น้ำปลาอย่างดี
11.น้ำตาลทราย
ขั้นตอนวิธีการทำ
1.ตั้งเตาไฟถ่านและเตรียมกระทะสำหรับคั่วพริกแห้ง
2.ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะให้เดือดทั่ว
3.นำพริกใหญ่แห้งและพริกแจวแห้ง  ลงคั่วในกระทะน้ำมันให้เหลือง
4.นำพริกที่คั่วแล้วไปบดให้ละเอียด
5.นำกระเทียมที่เตรียมไว้โขลกให้ละเอียด
6.นำกระเทียมที่โขลกละเอียดแล้วลงผัดในกระทะน้ำมันให้เหลือง
7.นำหอมแดงที่เตรียมไว้หั่นให้เป็นฝอย
8.นำหอมแดงที่หั่นเป็นฝอยแล้วลงผัดในกระทะน้ำมันให้เหลือง
9.นำพริกที่ป่นละเอียดแล้ว  กระเทียม  หอมแดง  มาคลุกเคล้าให้เข้ากันในภาชนะ
10.นำเครื่องปรุงทั้งหมดไปบดพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง
11.นำมาผึ่งไว้ในตระเกรงตากแดดไว้ให้แห้งสนิท
12.เมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาบดอีกครั้งหนึ่ง
13.หมุสันในแดง  นำมาหั่นเป็นชิ้นพอประมาณ
วิธีทำ
                ตั้งกระทะบนเตาไฟ  ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะพอประมาณ  นำหอมกระเทียมที่บดเตรียมไว้ลงผัดกับน้ำมันในกระทะให้เหลือง  ใส่เนื้อหมูสันในแดงลงผัดให้ทั่วกัน  ใส่น้ำปลา  น้ำตาล  เกลือป่น  และน้ำมะขามเปียก  พอเดือดแล้วใส่พริกแห้งป่นและผัดให้ทั่ว  ชิมรสและผัดให้แห้ง  เมื่อชิมรสชาติได้ที่แล้วนำออกจากกระทะ  ใส่ภาชนะที่จัดเตรียมไว้  ทิ้งไว้ให้เย็น  นำมาบรรจุในบบจุภัณฑ์
เทคนิคในการทำ  (เคล็ดลับ)
1.การบดกระเทียมควรบดด้วยครกหิน
2.หอมแดงที่ใช้ควรเป็นหอมแดงชนิดหัวใหญ่สีแดงคล้ำ
3.การคั่วกระเทียมและหอมแดง  ควรคั่วให้ออกเป็นสีเหลือง
4.การใช้ส่วนผสมควรใช้ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
5.เนื้อหมูควรเป็นหมูสันในแดงไม่ติดมัน
6.การผัดเครื่องผสมทั้งหมดในกระทะ  ควรผัดให้ทั่วจนกว่าจะได้ที่
7.การบรรจุภัณฑ์ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแรงสะอาด  ปลอดภัย
ฤดูที่นิยมกิน   นิยมรับประทานกันทุกฤดูกาล
รสชาติ  เผ็ด เปรี้ยว หรือเติมรสชาติตามความพอใจของผู้รับประทาน
ข้อแนะนำ  ควรรับประทานกับข้ามสวยร้อน ๆ  โดยมีผักสดต่าง ๆ
คุณค่าทางโภชนาการ
                -มีคุณค่าอาหารทางโปรตีน
                -สามารถเก็บรักษาได้นาน
น้ำพริกปลาย่าง  
images
เครื่องปรุง
1.พริกใหญ่แห้ง
2.พริกแจวหรือพริกขี้หนูแห้ง
3.กระเทียม
4.หอมแดง
5.เกลือป่น
6.ปลาย่าง
7.น้ำมันพืช
ขั้นตอนวิธีการทำ
1.แกะเปลือกปลาย่างออกเอาแต่เนื้อด้านในของปลา
2.นำเนื้อปลาที่แกะแล้วไปตากแดดให้แห้งสนิท
3.นำเนื้อปลาที่ตากแห้งแล้วไปบดให้ละเอียด
4.ใส่เนื้อปลาที่บดละเอียดแล้วลงในภาชนะที่เตรียมไว้
5.ตั้งเตาไฟถ่านและเตรียมกระทะสำหรับคั่วพริกแห้ง
6.ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะให้เดือดทั่ว
7.นำพริกใหญ่แห้งและพริกแจวแห้ง  ลงคั่วในกระทะน้ำมันให้เหลือง
8.นำพริกที่คั่วแล้วไปบดให้ละเอียด
9.นำกระเทียมที่เตรียมไว้โขลกให้ละเอียด
10.นำกระเทียมที่โขลกละเอียดแล้วลงผัดในกระทะน้ำมันให้เหลือง
11.นำหอมแดงที่เตรียมไว้หั่นให้เป็นฝอย
12.นำหอมแดงที่หั่นเป็นฝอยแล้วลงผัดในกระทะน้ำมันให้เหลือง
13.นำพริกที่ป่นละเอียดแล้ว  กระเทียม  หอมแดง  มาคลุกเคล้าให้เข้ากันในภาชนะ
14.นำเครื่องปรุงทั้งหมดไปบดพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง
15.นำมาผึ่งไว้ในตระเกรงตากแดดไว้ให้แห้งสนิท
16.เมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาบดอีกครั้งหนึ่ง
วิธีทำ
                  นำปลาย่างที่บดแล้ว  พริกแห้ง  หอม  กระเทียม  ใส่ภาชนะคลุกเค้าให้เข้ากัน  ใส่เกลือป่นชิมรสชาติจนได้ที่
นำมาบรรจุในบบจุภัณฑ์
เทคนิคในการทำ  (เคล็ดลับ)
1.ปลาย่างที่ใช้ควรเป็นปลาย่างที่มีความสดใหม่เนื้อปลาด้านในแข็ง
2.การจัดเก็บปลาย่างควรใส่ถุงพลาสติกให้มิดชิด
3.การจัดเก็บปลาย่างควรเก็บไว้ในที่โล่งแจ้งและมีอากาศถ่ายเทอยู่เสมอ
4.นำปลาย่างที่จัดเก็บไว้มาตากแดดเสมอ  อย่างน้อยอาทิตย์ละ  3-4  ครั้ง
5.การบดปลาย่างควรบดอย่างน้อย  5  ครั้ง  เพื่อให้เนื้อปลามีความละเอียดนุ่มนวล
6.การบดพริกแห้งควรบดอย่างน้อย  3  ครั้ง
7.ควรมีตระแกรงสำหรับตรวจสอบความป่นของพริก
8.กระเทียมที่ใช้ควรเป็นกระเทียมพันธุ์สีม่วง  เพราะเก็บไว้ได้นานและมีเนื้อแข็ง
9. การบดกระเทียมควรบดด้วยครกหิน
10.หอมแดงที่ใช้ควรเป็นหอมแดงชนิดหัวใหญ่สีแดงคล้ำ
11.การคั่วกระเทียมและหอมแดง  ควรคั่วให้ออกเป็นสีเหลือง
12..การใช้ส่วนผสมควรใช้ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
13..การบรรจุภัณฑ์ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแรงสะอาด  ปลอดภัย
น้ำพริกอ่อง สูตรชาวเหนือ
น้ำพริกอ่อง
ส่วนผสม
  • เนื้อหมูบด 400 กรัม
  • มะเขือเทศลูกเล็ก 20 ลูก
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกขี้หนูแห้ง 20 เม็ด
  • หอมแดง 5 หัว
  • กระเทียม 10 กลีบ
  • กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • ผักชีและต้นหอมซอยเพื่อโรยหน้า
วิธีทำเครื่องแกง
  1. โขลกพริก หอมแดง และกระเทียม โขลกรวมกันให้ละเอียด
  2. ใส่กะปิและเกลือลงไป โขลกอีกครั้งอย่างเบามือ
วิธีทำ น้ำพริกอ่อง
  1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ใช้ไฟปานกลาง ใส่เครื่องแกงลงไปให้พอมีกลิ่นหอม ใส่หมูบดลงไป ผัดให้จนหมูสุก
  2. พอเห็นว่าน้ำเริ่มแห้งให้เติมน้ำสะอาดลงไปเพียงเล็กน้อย พอน้ำพริกเดือดให้นำมะเขือเทศที่ผ่าไว้แล้วใส่ลงไป ผัดเล็กน้อยและรอจนมะเขือเทศสุก จากนั้นก็ปิดไฟจัดใส่จานเสิร์ฟได้เลย ถ้าให้ดีก็ทานคู่กับแคปหมูกรอบๆ

อาหารไทย 4ภาค

อาหาร  4 ภาค
อาหารพื้นบ้านภาคใต้
      อาหารพื้นบ้านภาคใต้มีรสชาติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สืบเนื่องจากดินแดนภาคใต้
เคยเป็นศูนย์กลางการเดินเรือค้าขายของพ่อค้าจากอินเดีย จีนและชวาในอดีต ทำให้วัฒนธรรม
ของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซึ่งเป็นต้นตำรับในการใช้เครื่องเทศปรุงอาหารได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก
           อาหารพื้นบ้านภาคใต้ทั่วไป มีลักษณะผสมผสานระหว่างอาหารไทยพื้นบ้านกับอาหารอินเดียใต้ เช่น น้ำบูดู ซึ่งได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกับเม็ดเกลือ และมีความคล้ายคลึงกับอาหารมาเลเซีย อาหารของภาคใต้จึงมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่น ๆ และด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้านมีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้มจึงมีรสจัด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันการเจ็บป่วยได้อีกด้วย
           เนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงเป็นอาหารส่วนมากนิยมสัตว์ทะเล เช่น ปลากระบอก ปลาทู ปูทะเล กุ้ง หอย ซึ่งหาได้ในท้องถิ่น อาหารพื้นบ้านของภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา นิยมใส่ขมิ้นปรุงอาหารเพื่อแก้รสคาว เครื่องจิ้มคือน้ำบูดู
           อาหารของภาคใต้จะมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่นๆ แกงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ คือ แกงเหลือง แกงไตปลา เครื่องจิ้มก็คือ น้ำบูดู และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกว่า "ข้าวยำ" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิดประกอบ อาหารทะเลสดของภาคใต้มีมากมาย ได้แก่ ปลาหอยนางรม และกุ้งมังกร เป็นต้น      
อาหารไทยภาคใต้
          อาหารของภาคใต้จะมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่นๆ แกงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ คือ แกงเหลือง แกงไตปลา เครื่องจิ้มก็คือ น้ำบูดู และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกว่า "ข้าวยำ" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิดประกอบ อาหารทะเลสดของภาคใต้มีมากมาย ได้แก่ ปลาหอยนางรม และกุ้งมังกร เป็นต้น

         เม็ดเหรียง เป็นคำเรียกของคนภาคใต้ มีลักษณะคล้ายถั่วงอกหัวโต แต่หัวและหางใหญ่กว่ามาก สีเขียว เวลาจะรับประทานต้องแกะเปลือกซึ่งเป็นสีดำออกก่อน จะนำไปรับประทานสดๆ หรือนำไปผัดกับเนื้อสัตว์  หรือนำไปดองรับประทาน
กับแกงต่างๆ หรือกับน้ำพริกกะปิ หรือ กับหลนก็ได้
        ลูกเนียง  มีลักษณะกลม เปลือกแข็งสีเขียวคล้ำเกือบดำ ต้องแกะเปลือกนอก แล้วรับประทานเนื้อใน ซึ่งมีเปลือกอ่อนหุ้มอยู่ เปลือกอ่อนนี้จะลอกออกหรือไม่ลอกก็ได้แล้วแต่ความชอบ ใช้รับประทานสดๆ กับน้ำพริกกะปิ หลนแกงเผ็ด โดยเฉพาะแกงไตปลา ลูกเนียงที่แก่จัดใช้ทำเป็นของหวานได้ โดยนำไปต้มให้สุกแล้วใส่มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย และน้ำตาลทรายคลุกให้เข้ากัน
         ฝักสะตอ มีลักษณะเป็นฝักยาว สีเขียว เวลารับประทานต้องปอกเปลือกแล้วแกะเม็ดออก ใช้ทั้งเม็ดหรือนำมาหั่น ปรุงอาหารโดยใช้ผัดกับเนื้อสัตว์หรือใส่ในแกง นอกจากนี้ยังใช้ต้มกะทิรวมกับผักอื่นๆ หรือใช้เผาทั้งเปลือกให้สุก แล้วแกะเม็ดออกรับประทานกับน้ำพริก หรือจะใช้สดๆ โดยไม่ต้องเผาก็ได้ ถ้าต้องการเก็บไว้นานๆ ควรดองเก็บไว้
อาหารพื้นบ้านภาคใต้ที่มีชื่อเสียง เช่น
แกงไตปลาน้ำข้น
แกงไตปลา.jpg
เครื่องปรุง
ปลาสำลีหรือปลาโอ 1 ตัว
ไตปลาอย่างดี 1/4 ถ้วย
น้ำมะขามเปียกนิดหน่อย
ใบมะกรูด 5-6 ใบ
วิธีทำ

1. ทำความสะอาดปลา ควักไส้ออก แล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
จากนั้นนำไปย่างให้สุกแห้ง แล้วแกะเอาแต่เนื้อ
2. นำน้ำ 2 ถ้วยใส่หม้อเคลือบ ตั้งไฟ พอน้ำเดือดพล่าน ใส่ไตปลาลงไป
ปล่อยให้เดือดสักครู่ จึงยกลงกรองเอาแต่น้ำ แล้วนำขึ้นตั้งไฟใหม่
3. ใส่เครื่องแกงที่โขลกไว้ลงไป พอหอม ใส่เนื้อปลาย่าง คนให้ทั่ว
ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก (ถ้าชอบอาจตัดรสด้วยน้ำตาลปึกนิดหน่อย)
พอเดือดอีกครั้ง ใส่ใบมะกรูดฉีก แล้วยกลง เสิร์ฟพร้อมผักสด
เครื่องแกง
ขมิ้น 1 แง่งเล็ก ๆ
ข่าหั่นตามขวาง 5 - 7 แว่น
ตะไคร้ซอยละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูดซอยละเอียด 1/2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดง 2 หัว
กระเทียม 1 หัว
พริกขี้หนูสดสีเขียวและสีแดง 20 เม็ด
พริกขี้หนูแห้ง 10 - 15 เม็ด
พริกไทย 1 ช้อนชา
กะปิ 1/ 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
โขลกเครื่องแกงทั้งหมดรวมกันให้ละเอียด
 ภาคเหนือ
p04001s.jpg
จอผักกาด
จอผักกาด เป็นตำรับอาหารที่ใช้ผักกาดกวางตุ้งที่กำลังออกดอก หรือเรียกว่า ผักกาดจ้อน หรือผักกาดดอก ซึ่งปรุงด้วย เกลือ กะปิ ปลาร้าหรือกะปิ ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกหรือมะขามสด ใส่กระดูกหมูด้วยก็ได้ ซึ่งบางแห่งนิยมใส่น้ำอ้อย ลงไปด้วย บางสูตรใส่ถั่วเน่าแข็บ หรือถั่วเน่าแผ่นย่างไฟ นิยมรับประทานกับพริกแห้งทอด ตัดเป็นท่อน โรยหน้าแกง หรือรับประทานต่างหาก แล้วแต่ชอบ (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 1790 ; อัมพร โมฬีพันธ์, สัมภาษณ์, 6 กรกฎาคม 2550)
ส่วนผสม
1.ผักกาดกวางตุ้ง1กิโลกรัม
2.ซี่โครงหมู400กรัม
3.หอมแดง5หัว
4.กระเทียม10กลีบ
5.ถั่วเน่าแข็บย่างไฟ2แผ่น
6.กะปิ2ช้อนโต๊ะ
7.น้ำมะขามเปียก3ช้อนโต๊ะ
8.เกลือป่น1ช้อนชา
9.น้ำมันพืช2ช้อนโต๊ะ
 วิธีการทำ
1. ต้มน้ำเปล่า พอเดือด ใส่ซี่โครงหมูสับ ต้มจนกระทั่งหมูนุ่ม
2. โขลกกระเทียม หอมแดง กะปิ เกลือ รวมกันให้ละเอียด ใส่ลงในหม้อต้มซี่โครงหมู
3. พอเดือด ใส่ผักกวางตุ้งเด็ดเป็นท่อน
4. พอผักนุ่ม ใส่ถั่วเน่าแผ่นโขลกละเอียด
5. ใส่น้ำมะขามเปียก คนให้ทั่ว พอเดือด ปิดไฟ
6. ตั้งกระทะใส่น้ำมัน พอร้อน ใส่พริกขี้หนูแห้งลงทอด พอกรอบ ตักขึ้น ใส่กระเทียมสับ เจียวให้เหลือง เททั้งกระเทียมเจียวและน้ำมัน ใส่หม้อจอผักกาด (จ่าว) คนให้เข้ากัน

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

เคล็ดลับในการปรุง
บางสูตรใส่ปลาร้า หรือบางสูตรใส่น้ำอ้อยเพื่อให้มีรสหวาน
ถ้าใช้มะขามสด ให้ลวก หรือเผา แล้วแกะเอาเปลือกออก เลือกเอาแต่เนื้อและน้ำ เพื่อนำไปปรุงรส รสชาติของจอผักกาดจะกลมกล่อมเคล็ดลับในการเลือกส่วนผสม
เลือกผักกาดกวางตุ้งที่ใหม่และสด จะทำให้จอผักกาดมีรสชาติกลมกล่อม
ภาคกลาง

ต้มยำปลาช่อน อาหารไทย เมนูต้มยำ เมนูปลาช่อน

ดาวน์โหลด (5).jpg



วิธีทำต้มยำปลาช่อน ปลาช่อนทำอะไรกินได้บ้าง ปลาช่อนทำอะไรกินดี เมนูปลาช่อน อาหารไทย ต้มยำปลาช่อน ต้มยำทำอย่างไร อาหารไทย เมนูต้มยำ อาหารสุขภาพ อุดมไปด้วยสมุนไพร ปลาช่อนเป็นปลานักล่า เนื้อจะแน่น หวาน เป็นที่นิยมมาก แต่ต้องทำความสะอาดปลาก่อนนำมาทำอาหาร เพื่อไม่ให้ปลาคาว เสียอัถรสในการรับประทาน

ส่วนผสมสำหรับทำต้มยำปลาช่อน

ปลาช่อนหั่นเป็นท่อน 4-5 ชิ้น
น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต้ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต้ะ
น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต้ะ
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต้ะ
พริกสด 1 ช้อนโต้ะ
ใบมะกรูด 3 ใบ
น้ำซุปหมู 2 ถ้วย
ข่าหั่นเป็นชิ้น 2-3 ชิ้น
ตะไคร้หั่นเป็นท่อน 2-3 ชิ้น
หอมแดงผ่าครึ่ง 2 ลูก
ผักชีฝรั่งซอยหยาบ 2 ช้อนโต้ะ

วิธีทำต้มยำปลาช่อน

1. ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่ปลาช่อนไปลวกให้สุก จากนั้นพักไว้ก่อน การที่ต้องต้มเนื้อปลาช่อนก่อนนั้น เพื่อให้เนื้อปลาน่ารับประทาน และลดความคาวจากเนื้อปลา น้ำคาวจะไม่ไปรวมกับน้ำซุปที่ใช้ทำต้มยำ
2. ต้มน้ำซุปหมู จากนั้นใส่ ข่า ตะไคร้ หอมแดง และใบมะกรูด(ฉีกใบไม่เอาแกนใบ) ต้มด้วยไฟอ่อนๆ ให้ได้กลิ่นหอมของสมุนไพรออกมาก่อน
3. ปรุงรสด้วย พริกสด น้ำปลา น้ำมะขามเปียก และพริกเผา จากนั้นเร่งไฟให้แรงขึ้น
4. ใส่ผักชีฝรั่งลงไป ใส่ปลาช่อนลงไป ปิดไฟ จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไป ชิมรสชาติและแต่งรสชาติตามใจชอบ
5. เสริฟต้มยำปลาช่อน กับข้าวไทย เมนูสุขภาพ อาหารจานเดียว
ภาคอิสาน
ลาบปลาดุก
10410-1.jpg
ส่วนผสม อาหารภาคอีสาน ลาบปลาดุก
ปลาดุกอุยหนักประมาณ 300 กรัม 1 ตัว
ข้าวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
ข่าโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
ใบมะกรูดหั่นฝอย 2 ช้อนชา (15 กรัม)
ต้นหอมซอย 2 ช้อนชา (15 กรัม)
หอมแดงฝอย 2 ต้น (10 กรัม)
ใบสะระแหน่ 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
น้ำมะนาว ถ้วย (50 กรัม)
น้ำปลา 2-3 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
ผักสด กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ใบโหระพา
วิธีทำ 
1.ล้างปลาดุกให้สะอาด ขูดเมือกบนผิวออก นำไปย่างไฟพอสุก แกะเอาแต่เนื้อ สับหยาบๆ
2.เคล้าเนื้อปลาดุกกับข้าวคั่ว พริกป่น ข่าหั่นฝอย หอมแดงซอย ใบมะกรูดหั่นฝอย
3.ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว คลุกเคล้ากันให้ทั่ว โรยใบสะระแหน่ ต้นหอมซอย ชิมรสตามชอบ รับประทานกับกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ใบโหระพา